หุ้นเด่นวันนี้
24 สิงหาคม 2563 | 09:22
หลังจาก บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ประกาศงดจ่ายปันผลระหว่างกาล เมื่อวันทำการก่อนหน้า (21 ส.ค.63) ราคาหุ้นก็ตอบรับด้วยการร่วงไปทำจุดต่ำสุดของวันที่ 40.75 บาท ก่อนปิดซื้อขายไปด้วยราคา 41.25 บาท ลดลง 1 บาท หรือ -2.37% สวนทางดัชนีหุ้นไทย(SET Index) ที่ปิดบวก โดยมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 265.04% จาก 5 วันทำการก่อนหน้า
ต้องยอมรับว่าการรายงานขาดทุนสุทธิจำนวน 1.38 หมื่นล้านบาท ในช่วงไตรมาส 1/63 ของ TOP ทำให้ปี 63 เป็นปีที่หนักหนาสาหัสเอาการ โดยแม้ว่าไตรมาส 2/63 TOP จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 2.48 พันล้านบาท แต่ยังต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 13% และยังคงห่างไกล ที่จะทำให้ผลประกอบการทั้งปี ฟื้นกลับมามีกำไรสุทธิได้จากการดำเนินงานปกติ
โดย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า หากหักรายการพิเศษ จากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน 2 พันล้านบาท, กำไรอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยง 344 ล้านบาท, และกำไรสต็อกน้ำมันรวม NRV จำนวน 1.1 พันล้านบาท ผลการดำเนินงานปกติของ TOP จะยังขาดทุนราว 8 ร้อยล้านบาท
บล.ทิสโก้ คาดว่า ในช่วงไตรมาส 3/63 ผลประกอบการของ TOP ยังคงอ่อนแอ เนื่องจากราคาพรีเมี่ยมของน้ำมันดิบเมอร์เบิน ที่พลิกจากมีส่วนลด 4.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงไตรมาส 2/63 เป็น 1.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงไตรมาส 3/63 ทำให้คาดว่า การดำเนินงานของกลุ่มโรงกลั่น จะยังคงอ่อนแอจากค่าการกลั่นที่ประเทศสิงคโปร์ยังติดลบ
สอดคล้องกับ บล.หยวนต้า ที่ระบุว่า การเติบโตของ TOP ในช่วงไตรมาส 3/63 ยังต้องพึ่งพาการบันทึกกำไรจากสต็อกน้ำมันเป็นหลัก เนื่องจากคาดผลการดำเนินงานหลักยังอยู่ระดับต่ำ เพราะค่าการกลั่นจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยถูกกดดันจากต้นทุนน้ำมันของภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่คิดเป็นสัดส่วน 60% ของกระบวนการผลิตทั้งหมดสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยน้ำมันชนิด Arab light OSP ของซาอุดิอาระเบีย พลิกจากการมีส่วนลด 5.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงไตรมาส 2/63 มาอยู่ที่ 0.8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงไตรมาส 3/63 ขณะเดียวกัน ผลต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูป ยังถูกกดดันจากปริมาณสต็อกน้ำมันสำเร็จรูปทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ อัตรากำไรของธุรกิจอะโรมาติกส์ จะถูกกดดันจากส่วนต่างราคาปิโตรเคมี ทั้งพาราไซลีน และ แนฟทาที่ลดลง เพราะความต้องการใช้ยังอยู่ในระดับต่ำ และปริมาณสินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูง
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์หลายสำนักประเมินว่าผลประกอบการปี 63 ของ TOP อาจต้องขาดทุนราว 4 - 5 พันล้านบาท เนื่องจากคาดว่าธุรกิจครึ่งปีหลังยังคงชะลอตัว ซึ่งจะไม่สามารถชดเชยการรายงานขาดทุนสุทธิจำนวน 1.38 หมื่นล้านบาท ในไตรมาส 1/63 ได้
แต่ล่าสุด บล.ทรีนี้ตี้ ระบุว่า เมื่อวันทำการก่อนหน้า (21 ส.ค.63) TOP และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ได้ประกาศปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC โดย TOP จะขายหุ้นที่ถืออยู่ใน GPSC จำนวน 8.91% ให้กับ PTT
และจะทำให้ TOP บันทึกกำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวประมาณ 5 พันล้านบาท ภายในไตรมาส 4/63 ซึ่งการบันทึกกำไรจำนวนดังกล่าว อาจเพียงพอให้ผลประกอบการปี 63 ของ TOP พลิกกลับมามีกำไรได้ในทันที
นอกจากนี้ PTT ยังได้โอนกิจการทั้งหมดของบริษัท ไทยออยล์เพาเวอร์ จำกัด(TP) ให้แก่ TOP ซึ่ง TP ถือหุ้น GPSC ในสัดส่วน 20.78% และจะทำให้ TOP กลับไปถือหุ้น GPSC จำนวน 20.78%
จากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำ"ขาย" แม้ว่า TOP จะเตรียมบันทึกกำไรจากการขายหุ้น GPSC แต่ต้องรอถึงไตรมาส 4/63 โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าในระยะสั้น ราคาหุ้น TOP อยู่ในช่วงปรับฐาน และยังขาดปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นในระยะสั้น
ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ
RECOMMENDED NEWS
Let's block ads! (Why?)
No comments:
Post a Comment